|
พิธีการแต่งงานแบบอิสลาม |
พิธีแต่งงานแบบอิสลาม
การประกอบ "พิธีนิกาห" แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. การแต่งงานตามบทบัญญัติของศาสนา
2. การแต่งงานตามประเพณีที่ปฏิบัติกัน
ที่ต้องแบ่งเช่นนี้เพราะการแต่งงานของชาวมุสลิมบางกลุ่มจะผสมผสานวัฒนธรรมชุมชนเข้าไปด้วย เช่น การแห่เจ้าสาวเข้ามัสยิดโดยมีต้นกล้วย ต้นอ้อย อยู่หน้าขบวน หรือมีขนมหวานแบบไทย เป็นต้น
สำหรับประเพณีการแต่งงานในศาสนาอิสลามก็ไม่ต่างอะไรกับศาสนาอื่น กล่าวคือจะมีการเริ่มต้นที่ "การสู่ขอ" เช่นเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามในประเพณีอิสลามนั้นยังมีข้อกำหนดถึงสตรีที่บุรุษสามารถขอแต่งงานได้เอาไว้ด้วยว่า สตรีนั้นจะต้องไม่ได้อยู่ระหว่าง "อิดดะฮฺ" กล่าวคือ อยู่ในช่วง 3 เดือนแรกของการหย่าร้างหรือสามีเสียชีวิตนั่นเอง ทั้งนี้ต้องรอจนครบ 4 เดือนแล้วจึงจะสู่ขอได้

เงื่อนไขหลักในการแต่งงานที่ถูกต้อง
- เป็นการยินยอม ในการอยู่กิน ฉันสามีภรรยา ของคู่แต่งงานเองและญาติ ๆ ทั้งสองฝ่าย
- มีการมอบสินสอดเพื่อเป็นของกำนัลที่เจ้าบ่าวพึงมีต่อเจ้าสาว
- ประกอบด้วยพยานในพิธีอย่างน้อย 2 คน ชายหรือหญิงก็ได้ นิยมเป็นผู้ชายและต้องเคร่งเรื่องศาสนา เช่น ผู้ที่ทำละหมาด 5 ครั้ง/วัน เป็นต้น
- มีการประกาศเพื่อเฉลิมฉลอง พิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการให้สังคมรับรู้
เมื่อฝ่ายหญิงตกลงแต่งงานและมีการกำหนด "มะฮัร" ซึ่งเป็นเงินที่ฝ่ายชายมอบให้ฝ่ายหญิงตามที่ฝ่ายหญิงเรียกร้อง และเงินนั้นจะเป็นของฝ่ายหญิงแต่เพียงผู้เดียว จากนั้นก็หาวันแต่งงานตามสะดวก ทั้งนี้ในวันแต่งงานจะต้องมีการยกของหมั้นหรือมะฮัรไปที่บ้านเจ้าสาว ซึ่งก็จะมีการทำพิธีอะกัด-นิกาฮต่อหน้าสักขีพยานจะเป็นชาย 2 หรือว่าหญิงสองคนก็ได้
คำสอนก่อนแต่งงาน
ก่อนทำพิธีนิกาห โต๊ะครู อาจารย์ บาบอ อุซตาซ (เป็นชื่อเรียกผู้รู้ตามหลักศาสนาอิสลามซึ่งแตกต่างกันไปตามพื้นที่และสถานที่) จะเป็นผู้ที่ทำพิธีนิกาห ให้ตามแต่คู่บ่าวสาวจะสะดวก
ฤารักจะไร้พรมแดน
อิสลามไม่อนุญาตให้คู่รักต่างศาสนาแต่งงานกันแต่ถ้ารักกันจริง ๆ ต้องเข้าไปเป็นอิสลามก่อน โดยการเรียนรู้ศาสนา ให้เข้าใจถึงหลักของอิสลามโดยถ่องแท้จากผู้รู้ มิเช่นนั้นแล้วจะไม่เข้าสู่เงื่อนไข 5 ข้อของการแต่งงานตามหลักอิสลาม และถ้าเจ้าสาวนับถือศาสนาอื่น ก่อนมานับถือศาสนาอิสลามหรือคนในครอบครัวยังคงนับถือศาสนาเดิมอยู่ก่อนการแต่งงานจะต้องแต่งตั้งผู้อื่นให้ทำหน้าที่ผู้ปกครองแทน ผู้แทนอาจเป็นครู ที่สอนศาสนาให้ก็ได้หรือเป็นผู้รู้ที่เคารพนับถือก็ได้เช่นกัน
คำกล่าวที่ใช้ในพิธี
คำเสนอของ วะลีย์ ซึ่งก็คือ คำกล่าวของผู้ปกครองฝ่ายเจ้าสาวเพื่อให้เจ้าบ่าวยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ อันมีหลักคำกล่าวที่สำคัญดังนี้
"ท่าน (ชื่อเจ้าบ่าว) กับลูกสาว (ชื่อเจ้าสาว) ด้วยมะฮัรที่ตกลงกันไว้"
เมื่อวะลีย์กล่าวคำเสนอจบแล้วเจ้าบ่าวต้องกล่าวคำสนองว่า
"ผมรับการนิกาหกับนางสาว (ชื่อเจ้าสาว) ด้วยมะฮัรตามที่ตกลงไว้"
หลังจากนั้นจะมีการอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน (บทที่ว่าด้วยการครองเรือน) ให้บ่าวสาวฟัง เพียงแค่นี้พิธีก็จะเสร็จสมบูรณ์
"วลีมะฮ" การเลี้ยงฉลองการแต่งงาน
การเลี้ยงฉลองไม่จำเป็นต้องทำในวันเดียวกันกับวันนิกาหก็ได้ แต่การเลี้ยงฉลองนั้นต้องไม่เกิน 2 วัน หลังจากมีพิธีแต่งงาน เพราะชาวมุสลิมจะเคร่งครัด ในเรื่อง ของค่าใช้จ่ายเป็นพิเศษ โดยจะพยายามไม่ฟุ่มเฟือยและลดทอนความวุ่นวายให้น้อยที่สุด
ดังคำกล่าวที่ว่า "งานเลี้ยงที่เลวคืองานเลี้ยงพิธีนิกาหและเลี้ยงเฉพาะคนรวย เพราะศาสนาอิสลามถือว่าทุกคนนั้นเท่าเทียมกัน"
สามี-ภรรยาที่ดีตามหลักศาสนาอิสลาม
สามี จะต้องเป็นผู้มอบความรัก ความห่วงใย ให้เกียรติ และความเสมอภาค ให้แก่ภรรยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่สามีมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน
ภรรยา จะต้องให้เกียรติ ซื่อสัตย์ และจริงใจต่อสามี รวมถึงการรู้จักปรนนิบัติเอาอกเอาใจสามี อย่างสม่ำเสมอ ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้สามีต้องระเห็จไปแสวงหาความสุขนอกบ้านนั่นเอง
ข้อห้ามของศาสนาอิสลาม
หลักศาสนาอิสลามจะไม่ยอมเชื่อถือโชคลาง (ฤกษ์ยามในการแต่งงาน) เป็นอันขาด นอกจากนี้ชาวมุสลิมจะไม่ยอมให้มีการแห่ใด ๆ ทั้งสิ้นในพิธีแต่งงาน อย่างไรก็ดีมีข้อควรศึกษามากมายที่ "เจ้าสาวอิสลาม" ควรทราบ ซึ่งได้แก่
1. มุสลิมใหม่เรียกว่า มุอัลลัฟ
2. เมื่อเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามแล้วไปงานศพได้ แต่ห้ามร่วมพิธี
3. ศาสนาอิสลามไม่ใช่เพียงแค่นับถือ แต่ต้องเป็นการปฏิบัติตามทุกอย่างในชีวิต
4. นอกจากไม่รับประทานหมูแล้วต้องไม่ดื่มเหล้า และจะต้องทำละหมาด 5 เวลา และไม่ล่วงละเมิดจับมือหญิงสาวผู้ไม่ใช่ภรรยาของตน
5. สตรีที่ดีคือสตรีที่เรียก มะฮัร (สินสอด) จากฝ่ายชายน้อยที่สุด
6. หลังแต่งงาน มะฮัร (สินสอด) ต้องเป็นของฝ่ายหญิงครึ่งหนึ่งก่อน จนกว่าจะได้อยู่ด้วยกันโดยพฤตินัยจึงเป็นของฝ่ายหญิงทั้งหมด หลังแต่งงานแล้วหากมิได้มีความสัมพันธ์กันฉันสามีภรรยากันจริง ๆ มะฮัรจะตกเป็นของผู้หญิงเพียงครึ่งเดียว
|
|
|
|